Camouflage - Dhamma Talk
Camouflage - Dhamma Talk

Camouflage - Dhamma Talk

Camouflagetalk

Overview
Episodes

Details

Dhamma Talk by Ajahn Camouflage, more info camouflagetalk.com

Recent Episodes

378.หลอมลงไปในความรู้สึก จนแจ่มแจ้ง
OCT 17, 2025
378.หลอมลงไปในความรู้สึก จนแจ่มแจ้ง
เวลาพี่เล่าเรื่อง เนื้อเรื่องที่เล่า มันก็แสดงความรู้สึก พี่ต้องรู้ว่าความรู้สึกเกิดขึ้นแล้ว แล้วพี่ก็ต้องไปกับความรู้สึกนั้น   พี่อย่าหลุดจากความรู้สึก เพราะเวลาพี่หลุดปุ๊บ มันจะไปคิดแทน   ทีนี้มันจะเป็นแค่เนื้อเรื่องที่ไม่มีความรู้สึก พี่จะใช้แค่ความจำ การวิเคราะห์มาบอกผม หรือแม้กระทั่งจะแจ่มแจ้งเอง   มันเหมือนจะใช่ แต่มันไม่ใช่   พี่ต้องไปใน Flow นี้ทั้งหมดพร้อมกัน   พี่เข้าใจโครงสร้างชีวิตของพี่แล้ว จากการพิจารณาทางความคิดแบบที่ผ่านมา แต่สิ่งที่พี่ขาดคือ พี่ไม่ลงไปในความรู้สึกนั้นแบบเต็มที่   พี่ลงไปกับความรู้สึกแป๊บนึง พี่ก็จะขึ้นมาแล้ว โผล่หัวขึ้นมาใหม่ แล้วพี่ไม่ยอมจมลงไป พี่ต้องจมลงไป   พี่ต้องรับรู้ความรู้สึกของชีวิตนั้น ไม่ใช่แค่ชิม พี่ต้องสวาปามเลย   การเป็นทั้งหมด มันหมายถึงว่า พี่เป็นเนื้อเดียวกับมัน พี่ไม่ใช่แค่ชิม   พี่หล่อหลอมไปกับมันเลย จนถึงจุดที่ความแจ่มแจ้งเกิดขึ้น   ให้ความแจ่มแจ้งเกิดจากที่นั่น จากการที่พี่หลอมลงไปในความรู้สึกของชีวิตนั้น   #Camouflage 14-08-2568
play-circle icon
15 MIN
377.อยากแจ่มแจ้งเป็นบ้าง…ต้องทำยังไง
OCT 9, 2025
377.อยากแจ่มแจ้งเป็นบ้าง…ต้องทำยังไง
ก่อนจะแจ่มแจ้งต้องรู้จัก “ความรู้สึก” ข้างในตัวเอง  ก่อนจะแจ่มแจ้งไปที่จุดเริ่มต้นก่อน “เป็นจริงก่อน” ความแจ่มแจ้งนั้น คู่กับของ “จริง” เป็นจริงก่อน แล้วความแจ่มแจ้งถึงจะเกิด ไม่ใช่เป็นแบบปลอมแล้วจะแจ่มแจ้ง...แจ่มแจ้งไม่ได้ และถ้าอยู่กับถูก กับผิด แจ่มแจ้งไม่ได้ การด่าไฟแลบ นั่นคือจริง แล้วจะค่อยรู้จักตัวเองได้ ว่าโอ้โห ตัวเรานี่ปากร้าย ปากจัด ปากตลาด  ถึงแม้แม่ได้ลั่นวาจาออกมา แต่เราก็ไม่ใช่ผู้ดี เราแค่เก็บมันไว้ข้างใน แต่จริงๆ แล้ว เราก็มีปากแบบนั้นแหละ  --- ขณะจะพูด แล้วมันคิดไม่ออก มันมีความรู้สึกอยู่ ต้องรู้ ไม่ใช่จะหาคำตอบ  คำตอบไม่สำคัญเท่า ตอนนี้รู้สึกอะไร  เพราะฉะนั้น พูดอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่ ต้องรู้ ความรู้สึกตัวเองด้วย  --- ผู้ฟัง : ถ้าเราแจ่มแจ้งบ่อยๆ แบบนี้เนี่ย... อาจารย์ : ยังไม่ต้องไปที่แจ่มแจ้ง #เป็นจริงให้ได้ก่อน ผู้ฟัง : แล้วผลมันจะออกมาเป็นยังไง? อาจารย์ : ไม่ต้องไปที่ผล #เป็นจริงให้ได้ก่อน สัจธรรมคือ ความจริง ใช่มั้ย? ถ้าแม่เป็นจริงแล้ว จะไปไหนอีกมั้ย?  เช่น ก็แม่ถึงความจริงแล้ว ว่าความจริงแม่เป็นคนปากตลาด หรือความจริงคือรู้สึกร้อนใจอยู่ นี่คือจริงใช่มั้ย แล้วแม่ถามผมต่อว่า ไปไหน? ไม่ได้ไปไหนล่ะ อยู่ที่นี่แหละ นี่คือความจริง  ผู้ฟัง : แล้วจะทำยังไง แม่เป็นคนใจร้อนแบบนี้ อาจารย์ : ไม่ใช่การแก้ไข “เป็นจริง” แค่นี้ก่อนได้มั้ย เลิกคิดแบบที่จะถามทั้งหมดนั้น ว่าจะแก้ไขยังไง จะทำยังไง แม่ไม่ชอบแบบนี้เลย ...ไม่มีเรื่องแบบนั้น เพราะแม่ทำเรื่องแบบนั้นมาทั้งชีวิตแล้ว ถูกมั้ย? ได้อะไรมั้ย? ผู้ฟัง : ก็ไม่ได้อะไร อาจารย์ : เออ ผลประกอบการณ์ชัดเจนว่า ขาดทุน เพราะฉะนั้น เลิก เลิกทำแบบเก่า เลิกคิดแบบเก่า เลิกซะที  เป็นจริงให้ได้ก่อน แล้วเดี๋ยวบันไดขั้นถัดไปมันจะเกิดขึ้นเอง ความจริงเป็นสิ่งที่รู้ล่วงหน้าไม่ได้ ผมบอกแม่ล่วงหน้าไม่ได้ เพราะถ้าผมบอกแม่ได้ นั่นไม่จริงแล้ว  #Camouflage09-08-2568
play-circle icon
16 MIN
376.ชีวิตคือความแจ่มแจ้ง
SEP 19, 2025
376.ชีวิตคือความแจ่มแจ้ง
บรรยายเมื่อ 21-09-2567   ต้องตระหนักด้วยชีวิตของเราเลยเองว่า ความแจ่มแจ้ง คือ ชีวิต นี่คือสิ่งเดียวที่พึ่งได้ความแจ่มแจ้ง คือ ความชัดเจน กระจ่างชัดในตัวเองผมพูดว่า ตัวเอง นี่มันเหมือนอัตตา แต่ไม่ใช่แจ่มแจ้ง กระจ่างชัดในความเป็นทั้งหมดนี้ ว่ามันคืออะไรพอเรารู้จักแจ่มแจ้ง กระจ่างชัด และชัดเจนในความเป็นทั้งหมดของชีวิตนี้ ว่าอะไรเป็นอะไรความสับสน สงสัย ความหวั่นไหวทั้งหมด จะคลายไป จางไปต้องจำไว้ว่า ความสับสน หวั่นไหวทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนนั้น เกิดขึ้นได้ เพราะไม่มีความกระจ่างชัดในตัวเองเราไปติดอยู่กับว่า เขาไม่เข้าใจเรา เขาเข้าใจเราผิด เขามองเราอย่างนั้น เขามองเราอย่างนี้จริง ๆ แล้วเราไม่รู้จักตัวเองพอเขาพูด เราก็หวั่นไหวตามเขา เพราะอะไร? ก็เพราะเราไม่มั่นใจตัวเองพอเค้าพูด เราก็...เอ๊ะ หรือว่าเราเป็นอย่างนั้นนะ พอเค้าบอกว่า เราดี เราก็มึนๆ งงๆ ไปรับมาพอไม่ดี เราก็...เฮ้ย อะไรวะทั้งหมดคือ เพราะเราไม่กระจ่างชัดในตัวเอง ไม่รู้ทุกย่างก้าวของชีวิตที่กระทบอะไรเข้ามามนุษย์เราไปแก้ปัญหาอยู่ข้างนอก อธิบายโน่นนี่นั่น เราไม่เคยแจ่มแจ้งว่า แท้จริงปัญหา คือตัวเอง เราไม่ชัดเจนกับตัวเอง ว่าอะไรเป็นอะไรผมพูดบทสรุปแบบนี้ เหมือนง่าย ๆ นะ แต่กว่าผมจะเจอเนี่ย...ยากทุกคนจะต้องไปรู้ด้วยตัวเองว่า รากเหง้าคือ เราไม่รู้จักตัวเองดีพอ เราคลุมเครือ ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันเพราะอย่างนี้แหละ ที่ทำให้ชีวิตสับสน สงสัย และขัดแย้งแต่มันก็ไม่ใช่ความมั่นใจในตัวเอง ในแบบที่ยึดมั่นถือมั่น ในอัตตาตัวตน ในเชิงอวิชชาแบบนั้นจึงเป็นคำเปรียบเปรยว่า ของภายนอกทั้งหมดที่กระทบเข้ามาจนถึงภายใน มันก็เปรียบเสมือนความมืด เราไม่ใช่ไปไล่ดับความมืด หรือไปจัดการความมืด เปรียบเสมือนที่เราชอบทำกันในโลกนี้ผมแค่บอกว่า เราต้องจุดไฟขึ้นมา แค่นั้น และความมืดทั้งหมดจะหายไปเองเพราะฉะนั้น มนุษย์เรามีหน้าที่เดียว คือจุดไฟขึ้นมาไฟนั้นคือ ความแจ่มแจ้ง ความสว่างของชีวิต แล้วมันจะแก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์#Camouflage
play-circle icon
21 MIN
375.ไม่ต้องช่วย
AUG 16, 2025
375.ไม่ต้องช่วย
บรรยายเมื่อ 23-06-2568   375.ไม่ต้องช่วย   ชีวิต ๆ หนึ่งดูเหมือนว่า จะควรจะมีชีวิตที่แจ่มแจ้ง   คนคนนึงควรจะมีความสามารถในการแจ่มแจ้งชีวิตให้ได้   แต่ความซ้อนกันอยู่ของชีวิตก็คือว่า มันไม่มีเป้าหมายอะไรแบบนั้น   ชีวิตคือ ชีวิตอมิตาพุทธ   ชีวิตคนที่เขาจะแจ่มแจ้ง...เขาจะแจ่มแจ้ง   ...   ชีวิตไม่ใช่การช่วย   พระพุทธเจ้าไปทำอะไร ท่านไปชี้ทางให้คนที่พร้อมจะเป็นบัวที่บานอยู่แล้ว มันไม่ใช่การช่วย   พระพุทธเจ้าทำหน้าที่ของตัวเองเฉย ๆ ทำหน้าที่ให้กับคนที่ต้องได้รับการชี้ทางนั้น   ทำหน้าที่ให้กับคนที่ต้องได้รับการชี้ทางนั้น ไม่ใช่การช่วย เราต้องแยกให้ออก   เหมือนพระอาทิตย์มีหน้าที่ส่องแสง แล้วดอกไม้ก็บานได้   พระอาทิตย์ไม่มีหัวใจว่าฉันช่วย แต่หน้าที่ของพระอาทิตย์คือ ต้องส่องแสง เพราะมันคือคุณสมบัติของพระอาทิตย์   คุณสมบัติของพระพุทธเจ้าคือ การชี้ทาง หนีคุณสมบัตินี้ไม่ได้   มันเป็นคุณสมบัติจำเพาะของคนที่เป็นพระพุทธเจ้า เป็นคุณสมบัติจำเพาะของสิ่งที่เรียกว่า ดวงอาทิตย์   ...   คนคนนึงอาจจะต้องเดินทางที่เรียกว่าหลงอีกสิบชาติร้อยชาติ เพื่อที่จะรู้จักการแจ่มแจ้งก็ได้ เพราะนั่นคือทางของเค้า   ในท้ายที่สุด ชีวิตทุกชีวิต คือ ความแจ่มแจ้ง   แต่เราไม่ยัดเยียดไปให้กับคนที่ยังไม่พร้อม   ของล้ำค่าที่สุดของชีวิต ให้กับคนที่ไม่เห็นค่า มันก็เป็นของที่ไม่มีค่าในสายตาคนคนนั้น   #Camouflage 23-06-2568
play-circle icon
15 MIN
374.หมูคือใคร ใครคือหมู
AUG 10, 2025
374.หมูคือใคร ใครคือหมู
บรรยายเมื่อ 25-06-2568 อาจารย์ : พี่คือใคร?   พี่หมู     : พี่ คือความหลงผิดหรอ?   อาจารย์ : อย่าตอบตามตำราสิ พี่คือใคร?   พี่หมู     : พี่ คือ สิ่งที่คิดว่ามีจริง ๆ และเป็นสิ่งที่พี่ผูกพันกับมัน และมีความตั้งใจจะทำให้มันดี จะหาอะไรดี ๆ ให้มัน พี่ผูกพันกับสิ่งนี้...สิ่งที่อาจารย์บอกว่า มันไม่มี   อาจารย์ : มี ไม่อย่างนั้นพี่จะผูกได้อย่างไร พี่ผูกกับอะไร? พี่เอาอะไรมาผูกด้วยกัน?   พี่หมู     : พี่เอาอะไรมาผูกด้วยกันอ่ะ...   อาจารย์ : อะไรคือพี่?   พี่หมู     : อะไรคือพี่...พ่อแม่เรียก ก็มีพี่แล้วอ่ะ   อาจารย์ : อะไรคือ พี่? นิสัยมั้ย? นิสัยแบบนี้คือ “หมู” ถูกมั้ย?   พี่หมู     : อืม   อาจารย์ : นิสัยแบบไหน ยโสโอหัง?   พี่หมู     : อืมค่ะ เห็นแก่ตัว เอาเข้าตัวเอง   อาจารย์ : ยโสโอหัง เห็นแก่ตัว เอาเข้าตัวเอง มันเป็น “หมู” ได้ยังไง?   พี่หมู     : มันเกิดขึ้นบ่อย ๆ แล้วพี่บอกว่า นี่คือพี่ เป็นแบบนี้   อาจารย์ : ถ้าเปลี่ยนเป็นคนใจกว้าง ใจเย็น ทำเพื่อส่วนรวม ...ใช่พี่มั้ย?   พี่หมู     : ถ้าถามตอนนี้ ก็คือไม่ใช่   อาจารย์ : เพราะฉะนั้น “หมู” ถูกจำกัดความไว้ที่นิสัยหนึ่ง ใช่มั้ย?   พี่หมู     : อืม ค่ะ   อาจารย์ : นิสัยใช่ “หมู” มั้ย? หรือ “หมู” เป็นผลผลิตของการรวมกันของทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น นิสัย ความจำ ประสบการณ์ในอดีต การเติบโตขึ้นมา มัดรวมกัน แล้วบอกว่า นี่คือ “หมู”   พี่หมู     : ข้อหลังค่ะ   อาจารย์ : เพราะฉะนั้น “หมู” เป็นคำอุปโลกน์ขึ้นมาเฉย ๆ กับของที่เอามามัดรวมกันใช่มั้ย?   พี่หมู     : ค่ะ   อาจารย์ : เมื่อของที่เอามามัดรวมกัน จนตั้งชื่อให้มันเสร็จ เราเรียกทั้งหมดนี้ว่า ความหลงผิด ถูกมั้ย?   พี่หมู     : ค่ะ   อาจารย์ : มันมัดรวมกันได้ด้วยเชือกนี้ ที่เรียกว่า ความเห็นผิด แล้วก็เลยมีชื่อเรียกขึ้นมาว่า นี่คือ “หมู” ชั้นคือ “หมู”   เพราะฉะนั้น “หมู” เป็นแค่ภาพลวงตาของการมัดทุกสิ่งเข้ามารวมกัน แล้วก็ตั้งชื่อ   แล้วก็จริงจังเหลือเกินว่า “หมู” มีอยู่จริง   ทั้งที่แค่เอาส่วนประกอบอันหนึ่งโยนออกไป ก็ไม่ใช่ “หมู” แล้ว เป็น “หมา”   และถ้าเอาส่วนประกอบอีกอันหนึ่งโยนออกไป ก็เป็น “หมี”   เพราะฉะนั้น “หมู” คืออะไร?   “หมู” คือ สิ่งที่ไร้แก่นสารมาก เพราะมันต้องมัดรวมทุกอย่างเอาไว้ ให้ครบถ้วน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น “หมู” ได้   และถ้าเอาอะไรออกไป มันก็ไม่ได้เป็น “หมู” แล้ว เป็น “หมา” แทน   “หมู” ก็กลุ้มใจแล้ว เฮ้ย…มันไม่เป็น “หมู” แล้วอ่ะ นี่มันไม่ใช่ “หมู” เพราะ “หมู” อยากให้เป็น “หมู” เหมือนเดิม ใช่มั้ย   มันหลงผิดกันได้ไปเรื่อย ๆ แบบนี้   จนกระทั่ง ต้องไปปฏิบัติธรรม ให้ “หมู” หลุดพ้น ให้ “หมู” แจ่มแจ้ง ... ประสาทมั้ย?   พี่หมู     : ทำอยู่แค่นี้   อาจารย์ : อื้ม ทำทั้งชีวิต   เพราะฉะนั้น เริ่มต้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า มันไม่มีคนคนนั้น   คำถามที่เราจะต้องถามตัวเอง ก็คือว่า เราปฏิบัติธรรมไปทำไม? ทำไมต้องปฏิบัติ?   แล้วถ้าไม่ปฏิบัติธรรมล่ะ ชีวิตจะเป็นยังไง?   พี่หมู     : ก็คงดีแหละ   อาจารย์ : ฮืมมม คิดนิดนึง   ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม...พี่ก็คิดถึงชีวิตพี่เมื่อก่อนนี้สิ เป็นยังไง ดีมั้ย?   พี่หมู     : ฮ่าฮ่าฮ่า ... ก็บันเทิง สมใจอยาก   อาจารย์ : อื้ม แล้วพี่ก็หลงความเป็น “หมู” เหมือนเดิม ถูกมั้ย?   พี่หมู     : ถูกค่ะ   อาจารย์ : “หมู” ก็ยังอยู่ “หมู” ก็ยังเป็นจริงเป็นจังเหมือนเดิม ถูกมั้ย?   พี่หมู     : ถูกค่ะ   อาจารย์ : แล้วทำยังไง ถ้างั้น?  
play-circle icon
16 MIN